เชื่อว่าแทบทุกบ้านตอนนี้ก็มีอินเทอร์เน็ตติดตั้งไว้ใช้งานกันหมดแล้ว เพราะอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตคนเราไปเสียแล้ว และอีกปัญหาหนึ่งที่ทุกบ้านต้องเจอกันก็คือ ปัญหาเน็ตช้า บางคนก็จะโทษถึงผู้ให้บริการซะส่วนใหญ่ แต่อันที่จริงแล้วมันมีหลายสาเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้เน็ตของคุณช้า โดยมี 6 ขั้นตอนหลักๆ ที่สามารถช่วยทำให้อินเทอร์เน็ตของคุณกลับมาเร็วตามปกติ
1. ตรวจสอบการตั้งค่าใน Router
ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ซึ่งการตั้งค่า Router ให้ผิดแปลกไปจากเดิมโดยคนที่ไม่รู้ อาจทำให้เกิดปัญหาได้ และการที่ไม่ได้เปลี่ยนรหัส wifi หลังจากที่ช่างมาติดตั้งให้ อาจทำให้โดนแฮ็ก หรือ มีเพื่อนบ้านแอบมาใช้ WiFi ของเราด้วย ทำให้ความเร็วช้าลงได้ ดังนั้น ควรทำการรีเซ็ต Router สักครั้งก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ทางผู้ให้บริการ มักจะให้ Router ที่ถูกตั้งค่ามาเรียบร้อยแล้ว การรีเซ็ต Router จะไม่ทำให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงสามารถรีเซ็ต Router ได้ เสร็จแล้วก็เปลี่ยนรหัส WiFi อีกที
2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะรบกวนสัญญาณ
ตำแหน่งการติดตั้ง Router ควรจะวางตรงกลางของจุดการใช้งานระหว่างผู้ใช้งาน และห้ามอยู่ใกล้เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น ทีวี ตู้เย็น ไมโครเวฟ ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้มีคลื่นรบกวนอยู่ด้วย และไม่ควรอยู่ใกล้หน้าต่างเพราะอาจทำให้ Router โดนแดดและร้อนส่งผลให้ทำงานได้ไม่ดี
3. ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัส หรือ มัลแวร์ คือ สิ่งที่ส่งผลทำให้คอมพิวเตอร์ของเราเสียหาย หรือเกิดอาการผิดปกติต่างๆนั่นเอง ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะมาจากที่อื่นๆผ่าน WiFi อาจจะส่งผลให้เน็ตช้าลงได้ เพราะมันอาจถูกตั้งค่าให้ส่งข้อมูลออกไปตลอดเวลา เป็นผลให้คอมพิวเตอร์ หรือ มือถือของเราเกิดอาการหน่วง เน็ตช้าลงแบบผิดปกติ หรือใช้ไม่ได้เลย ดังนั้น ควรตรวจสอบให้ดีว่า คอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ ที่ใช้ในบ้านติดไวรัสหรือไม่ และใช้โปรแกรมสแกนหรือกำจัดไวรัสออกไป
4. ปิดโปรแกรมที่แอบใช้เน็ตให้หมด
จะมีโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ และแอพพลิเคชั่น ในมือถือ แท็บเล็ตบางโปรแกรมที่แอบใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่เบื้องหลัง ที่เรียกว่า Running in Background ถ้าเป็นเครื่องเดียว ในวง wifi ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าหลายๆเครื่องก็อาจจะทำให้ความเร็วเน็ตช้าลง ดังนั้น ผู้ใช้งานควรตรวจสอบคอมพิวเตอร์และมือถือของตังเอง ว่ามีโปรแกรม หรือ แอพพลิเคชั่นไหน ที่ไม่ได้ใช้งานเหล่านี้อยู่หรืไม่ ถ้ามีก็ปิดให้หมด เพราะนอกจากจะช่วยทำให้เน็ตบ้านเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ของมือถือได้อีกด้วย
5. เช็คว่า Router พังชำรุดหรือไม่
ซึ่งปกติแล้ว ทางผู้ให้บริการบางเจ้าจะเปลี่ยนให้ลูกค้าทันที เนื่องจากยังอยู่ในประกันหรืออย่างไรก็ตาม แต่การจะรู้ว่า Router พังหรือไม่นั้นก็ดูได้ไม่ยาก เราสามารถทดสอบโดยการ ต่อคอมพิวเตอร์กับ Router โดยใช้สายแลน แล้วใช้มือถือเชื่อมต่อ WiFi ถ้ามือถือเล่นเน็ตไม่ได้ แต่คอมพิวเตอร์ที่ต่อกับสายแลนเล่นได้ แสดงว่า WiFi มีปัญหา แต่ถ้าเป็นมือถือเครื่องนั้นเครื่องเดียวที่ใช้ WiFi ไม่ได้ แต่โน๊ตบุคหรืออุปกรณ์อื่นๆต่อ WiFi แล้วเล่นเน็ตได้ แสดงว่ามือถือเครื่องนั้นเสีย ไม่ใช่ Router
6. โทรหา Call Center
วิธีนี้อาจเป็นหนทางสุดท้ายของหลายๆคน แต่อันที่จริงแล้ว หากพบปัญหาเน็ตมีปัญหา ให้รีบโทรหา Call Center ทันที ยิ่งถ้าปัญหาเกิดจาก โครงข่ายที่อยู่นอกบ้าน และเป็นความรับผิดชอบของทางผู้ให้บริการด้วยแล้ว การบริการแก้ปัญหาจะยิ่งช้าและนานมากๆ การแจ้งปัญหาเร็ว จะเป็นผลดีกับผู้ใช้งานอย่างมาก นอกจากทาง Call Center จะช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังสามารถให้คำแนะนำ ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น สาเหตุมาจากอะไร ได้อีกด้วย